ณ 16 พฤศจิกายน 2565 ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมซึ่งไม่ได้ระบุเอาไว้ในหนังสือก็คือว่าในหนังสือเล่มนี้ผมได้เขียนด้วยการทับศัพท์ภาษาอังกฤษตามวิธีของราชบัณฑิตยสภา(
ที่เดิมใช้ชื่อว่า "ราชบัณฑิตยสถาน") ยกตัวอย่างเช่นคำว่า "อินเสิร์
ต(
สะกดด้วย ต.เต่า)" ที่ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "inser
t" ซึ่งไม่ได้ทับศัพท์เป็น "อินเสิร์
ท(
สะกดด้วย ท.ทหาร)" เหมือนกับผู้รู้-นักวิจัย-นักวิชาการในแวดวงอุตสาหกรรมแม่พิมพ์แต่อย่างใด ดังรูปที่นำมาแทรกไว้ที่ด้านล่างตามลำดับต่อไปนี้(รูปด้านบนเป็นตัวอย่างคำทับศัพท์ของราชบัณฑิตยสภาที่คำว่าอินเสิร์
ต สะกดด้วย ต.เต่า คือคำว่า
insert bowl อินเสิร์ตโบวล์ กับคำว่า
insert pump อินเสิร์ตปั๊ม เป็นต้น ส่วนรูปด้านล่างนั้นผมได้รวบรวมข้อความ-เนื้อหามาจากแหล่งต่างที่ผู้รู้-นักวิจัย-นักวิชาการ ฯลฯ หลายๆท่านได้ใช้คำว่าอินเสิร์
ท สะกดด้วย ท.ทหาร อยู่ในเอกสารวิชาการของท่านนั้นๆมาไว้ในรูปเดียวกัน โดยแสดงให้เห็นข้อความ-เนื้อหาของแต่ละท่านด้วยการทำให้ขนาดของตัวอักษรเล็ก-ใหญ่ต่างกัน)
รูป
การทับศัพท์ภาษาอังกฤษตามวิธีของราชบัณฑิตยสภา(
ที่เดิมใช้ชื่อว่า "ราชบัณฑิตยสถาน") ของคำว่า "อินเสิร์
ต(
สะกดด้วย ต.เต่า)" ที่ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "inser
t"
รูป
การทับศัพท์ภาษาอังกฤษที่ไม่ได้เป็นไปตามวิธีของราชบัณฑิตยสภา(
ที่เดิมใช้ชื่อว่า "ราชบัณฑิตยสถาน") คำว่า "อินเสิร์
ท(
สะกดด้วย ท.ทหาร)" ที่ทับศัพท์มาจากภาษาอังกฤษคำว่า "inser
t"
ขอบคุณที่เข้ามาอ่าน ให้ความรู้เพิ่มเติม และแสดงความคิดเห็นเอาไว้สำหรับท่านอื่นๆที่เข้ามาอ่านในภายหลังด้วยครับ
อำนาจ แก้วสามัคคี
ขอให้ข้อมูลเพิ่มเติมในเกี่ยวกับคำศัพท์เทคนิค(Pressworking and Stamping die terminology, プレス加工と金型関連用の日本語)ในหนังสืองานปั๊มโลหะแผ่น_Sheet Metal Stamping_プレス加工の基本技術นี้อีก คือ
ในตำรา “งานปั๊มโลหะแผ่น(Pressworking Sheet Metal” เล่มนี้ ได้สอดแทรกคำศัพท์เทคนิคทั้งภาษาอังกฤษกับภาษาญี่ปุ่นร่วมอยู่กับคำศัพท์ภาษาไทยด้วย โดยจัดเรียงลำดับดังตัวอย่างต่อไปนี้
1) ออกแบบแม่พิมพ์(Die design, 金型設計, かながたせっけい, คะนะงะตะเซ็คเค)
แต่อย่างไรก็ตามคำศัพท์เทคนิคในด้านงานปั๊มตัดเฉือน-ขึ้นรูปโลหะแผ่นด้วยแม่พิมพ์นี้ ก็มีการใช้คำศัพท์ที่แตกต่างกันอยู่ทั้งคำศัพท์ภาษาอังกฤษหรือคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นแม้ว่าจะหมายถึงสิ่งที่เหมือนกันก็ตาม ดังนั้นในตำราเล่มนี้จึงได้เขียนคำศัพท์ที่แตกต่างกันนั้นมารวมอยู่ด้วยกัน เพื่อให้ผู้อ่านที่อาจจะเคยอ่านแล้วจดจำคำศัพท์เฉพาะคำใดคำหนึ่งจากตำราเล่มอื่นๆสามารถทำความเข้าใจได้ง่ายขึ้น เช่น ตัวอย่างคำศัพท์ต่อไปนี้
2) ดายตัวเมียแบบสอดใส่หรือ
อินเสิร์ตดาย(inser
tหรือdie insertหรือopen dies, インサートหรือダイ入れ子หรือダイインサートหรือ入れ子หรือ入れ駒, いんさーとหรือだいいれこหรือだいいんさーとหรือいれこหรือいれこま, อินซาโตะหรือดายอิเระโคะหรือดายอินซาโตะหรืออิเระโคะหรืออิเระโคะมะ)
สำหรับการอ่านออกเสียงคำศัพท์ภาษาญี่ปุ่นด้วยภาษาไทยในเล่มนี้มีจุดมุ่งหมายสำหรับคนที่อ่านภาษาญี่ปุ่นจากตัวอักษรคันยิ คะตะคะนะ และหรือฮิระงะนะที่เขียนไว้ไม่ได้เท่านั้น(สำหรับผู้ที่รู้แล้วอ่านภาษาญี่ปุ่นได้จะสามารถอ่านออกเสียงได้อย่างถูกต้องมากกว่า) เพื่อที่จะได้เรียนรู้แล้วใช้สื่อสารในเบื้องต้นกับชาวญี่ปุ่นเป็นภาษาญี่ปุ่นได้บ้าง เพราะว่าการเขียนการอ่านออกเสียงภาษาญี่ปุ่นด้วยภาษาไทยก็มีข้อจำกัดอยู่ ดังตัวอย่างต่อไปนี้(ส่วนหนึ่งที่ยกมาอธิบายถึงข้อจำกัดในที่นี้ขออ้างอิงถึงความรู้ของอาจารย์ ศ.ดร.ปรียา อิงคาภิรมย์ผู้ที่เคยสอนการออกเสียงภาษาญี่ปุ่นให้กับคนญี่ปุ่นกับคนต่างชาติมาแล้วซึ่งเป็นหนึ่งในผู้ที่ได้ประสาทวิชาความรู้ด้านภาษาญี่ปุ่นเอาไว้)
- เสียงที่ออกเสียงแล้วเป็นเสียงที่ขึ้นจมูกหรือเสียงนาสิก เช่น ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น “が”(gaหรือnga)ที่เป็นเสียงที่ไม่มีอยู่ในภาษาไทยแล้วบางคนก็จะใช้พยัญชนะภาษาไทย ก.ไก่ เข้ามาใช้ออกเสียงเป็น “กะหรือก๊ะ” ซึ่งอาจารย์ ศ.ดร.ปรียา อิงคาภิรมย์ ได้ให้คำแนะนำไว้ว่า が(ga)เมื่ออยู่หน้าคำหรือพยางค์แรกคนญี่ปุ่นในโตเกียวจะออกเสียงคล้าย ง. งู เป็น งะ(ga)ซึ่งเสียงจะไม่ขึ้นจมูกมาก และถ้า が(nga)ที่อยู่หลังคำหรือพยางค์ท้ายจะออกเสียงคล้าย ง. งู เป็น งะ(nga)ที่เป็นเสียงขึ้นจมูกมากกว่า และที่สำคัญคือไม่ว่าจะอยู่หน้าคำหรือที่ไหน “が”(gaหรือnga) ก็ไม่ได้ออกเสียง ก.ไก่ แบบในภาษาไทย ดังนั้นท่านอาจารย์จึงระบุการออกเสียงคำทับศัพท์ที่แปลว่าภาษาญี่ปุ่นเป็น “นิฮงโงะ” แต่ก็มีผู้รู้ท่านอื่นเขียนเป็น “นิฮงโกะ”
- ถ้าหากจะใช้การอ่านออกเสียงด้วยตัวอักษรภาษาอังกฤษ A ถึง Z ที่เรียกว่าอักษรโรมัน(Romaji, ローマ字, ろーまじ, โรมะยิ)ก็ยังมีการเขียนแตกต่างกันอย่างน้อย 2 วิธีคือแบบของ “รัฐบาลญี่ปุ่น” และแบบ “เฮะบง”(Hepburn)แต่แบบเฮะบงนั้นคนญี่ปุ่นนิยมใช้มากกว่าแบบของรัฐบาลญี่ปุ่น ซึ่งผู้ที่เคยเรียนรู้ภาษาญี่ปุ่นด้วยตัวอักษรโรมันวิธีใดวิธีหนึ่งเมื่อมาเจอคำศัพท์ที่เขียนด้วยอักษรโรมันอีกวิธีหนึ่ง ก็อาจจะสับสนได้ เช่น คำว่า แรง(Force, 力, ちから, จิคะระ)สามารถเขียนสะกดด้วยอักษรโรมันได้เป็นทั้ง “tikara”หรือ“chikara” คำว่า โลหะวิทยาด้านผงโลหะ(Powder Metallurgy, 粉末冶金, ふんまつやきん, บุงมัทซึยะคิง)สามารถเขียนสะกดด้วยอักษรโรมันได้เป็นทั้ง “hunmatu yakin”หรือ“bunmatsu yakin” และคำว่าอัตราส่วนการดึงขึ้นรูป(Drawing Ratio, 絞り比, しぼりひ, ชิโบะริฮิ)สามารถเขียนสะกดได้เป็นทั้ง “siborihi”หรือ“shiborihi” เป็นต้น ดังนั้นหนังสือเล่มนี้จึงเลี่ยงที่จะใช้วิธีนี้ในการเขียนคำศัพท์
- เสียงบางเสียงในภาษาญี่ปุ่นไม่มีเสียงดังกล่าวในภาษาไทย เช่น เสียงขึ้นจมูก งะ(ga)หรืองะ(nga) ที่กล่าวมาข้างต้น และเสียงในภาษาไทยบางเสียงก็ไม่มีเสียงดังกล่าวในภาษาญี่ปุ่น เช่น เสียงของสระเออที่ใช้อ่านทับศัพท์ภาษาอังกฤษคำว่า “taper” ซึ่งไม่ได้อ่านออกเสียงเป็นเทเพอร์หรือเตเปอร์ แต่กลับอ่านออกเสียงเป็น “เตปา(テーパー)” เพราะในภาษาญี่ปุ่นไม่ได้มีสระเออ แต่มีเพียงสระ อะ อิ อุ เอะ โอะ เป็นต้น
- ภาษาญี่ปุ่นมีแต่การออกเสียงสูงเสียงต่ำในคำที่มีตั้งแต่สองพยางค์ขึ้นไปโดยที่ไม่มีการออกเสียงหนักหรือเสียงเบาอย่างที่มีในภาษาอังกฤษ ในขณะที่การออกเสียงของภาษาไทยมีการออกเสียงวรรณยุกต์ไทยเป็น สามัญ เอก โท ตรี จัตวา ซึ่งบางพยางค์จะมีเครื่องหมายวรรณยุกต์ ไม้เอก ไม้โท ไม้ตรี และไม้จัตวาบอกระดับเสียงเอาไว้ด้วย
- องค์กรชั้นนำต่างๆที่มีการให้ความรู้ภาษาญี่ปุ่นได้มีการขอความร่วมมือในการใช้ภาษาไทยแทนภาษาญี่ปุ่นที่ยังมีความแตกต่างกัน ขอยกตัวอย่างที่แตกต่างกันระหว่าง “สถานเอกอัครราชทูต ณ กรุงโตเกียว(องค์กรที่ 1)”กับ”สมาคมพัฒนาแรงงานระหว่างประเทศของสถานประกอบการขนาดกลางและขนาดเล็กประเทศญี่ปุ่นหรือ IMM Japan(องค์กรที่ 2)” เช่น ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่น “し”องค์กรที่ 1 อ่านออกเสียงเป็น “ชิ(ช.ช้าง)” แต่องค์กรที่ 2 อ่านออกเสียงเป็น “ซิ(ซ โซ่)” “ち”องค์กรที่ 1 อ่านออกเสียงได้ 2 เสียงเป็น “จิหรือชิ(ช.ช้าง)” แต่องค์กรที่ 2 อ่านออกเสียงเป็น “ชิ(ช. ช้าง)”เพียงเสียงเดียว และ“じ”ทั้งสององค์กรอ่านออกเสียงเป็น “จิ(จ.จาน)” ส่วนอาจารย์ ศ.ดร.ปรียา อิงคาภิรมย์เคยให้ความรู้ไว้ว่า“ち”จะไม่ใช้เสียง จ.จาน และ“し”ก็จะไม่ใช้เสียง ช.ช้าง เป็นต้น
- ตัวอักษรภาษาญี่ปุ่นที่เรียกว่าตัวอักษร “Kanji(漢字)” ที่ผู้เขียนเคยซื้อตำราชื่อ “การเรียนตัวอักษรคันยิขั้นต้น” ของมูลนิธิญี่ปุ่น และความรู้ที่เคยเรียนภาษาญี่ปุ่นกับอาจารย์ นาวาโท ดร.สว่าง เจริญผล จึงได้ใช้ในการถ่ายทอดความรู้เป็น “คันยิ” ที่อ่านออกเสียงว่า “คัน-หยิ”{ซึ่งจะมีลักษณะการอ่านออกเสียงคล้ายๆกันกับการออกเสียงคำว่า “สวาย(สะ-หวาย)” ที่ไม่ได้อ่านออกเสียงเป็น “สะ-วาย”} แต่อย่างไรก็ตามก็มีผู้รู้ท่านอื่นเขียนเป็น “คันจิ” ก็มีอยู่มาก
ด้วยตัวอย่างข้อจำกัดบางส่วนที่อธิบายมาข้างต้นนี้ จึงเป็นที่มาของการเขียนการอ่านออกเสียงภาษาญี่ปุ่นด้วยภาษาไทยในตำราเล่มนี้อาจจะไม่ถูกต้องร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ก็จะช่วยให้ผู้ที่ไม่รู้ภาษาญี่ปุ่นพอที่จะใช้สื่อสารได้บ้างตามสมควร
นับถือ
นายอำนาจ แก้วสามัคคี
จากหนังสือ 国家戦略としての「大学英語」教育 ที่เขียนโดยคุณ 田中慎也 ได้ให้ความเห็นเกี่ยวกับคำศัพท์เทคนิคเฉพาะหรือศัพท์เฉพาะศาสตร์(terminology)โดยเขียนไว้ว่า "
技術専門用語を知らなければ仕事が出来ない。逆に専門用語さえ知っていれば技術者同士なら十分にコミュニケーションはできる。多少英会話ができなくても、正しい専門用語と話しの中身があれば相手の技術者は真剣に聞いてくれる。"
เหตุผลที่ควรจะต้องรู้และเข้าใจคำศัพท์เทคนิคหรือศัพท์เฉพาะวงการ(technical term / jargon) อาจจะพิจารณาได้จากบทสนทนาถาม-ตอบดังต่อไปนี้ 9 พ.ย. 65 ขอขอบคุณข้อมูลจาก 最新和英口語辞典 羽鳥博愛 朝日出版社, 1992
Q:(質問) このレポート読んだ?
(คุณ)อ่านรายงานนี้แล้วหรือยัง ? A:(答え) 読んだけど、
専門用語が多すぎてよく理解できなかったなあ
(ผมหรือฉัน)อ่านแล้ว แต่มีศัพท์เทคนิคหรือศัพท์เฉพาะวงการมากเกินไป จึงยังไม่เข้าใจดีนัก
ตอบความคิดเห็น